นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ และนางสิมารักษ์ ณ นครพนม
วิโรจน์ กรดนิยมชัย
14 ธันวาคม 2552
วันนี้ 14 ธันวาคม 2552 เป็นวันที่ ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ จะได้รับอิสรภาพจากการถูกจับกุมคุมขังในกัมพูชาในข้อหา จารกรรมข้อมูลการบินที่สำคัญ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 เขาสิ้นอิสรภาพเป็นเวลา 31 วัน ในปีที่เขามีอายุ 31 ปีด้วย แม้ว่าสิมารักษ์ ณ นครพนม แม่วิศวกรไทย มารดาของเขาจะพูด เอาลูกไปติดคุกเพื่ออะไร แค่คิดก็ถือว่าเลวสุดๆแล้ว และถ้อยคำประมาณนี้หลายครั้งหลายกาละเทศะ ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น เราๆคงสามารถหาอ่านข่าวต่างๆได้อยู่แล้ว แต่ในฐานะนักโหราศาสตร์ ได้เห็นมุมมองบางประการที่สำคัญของตัวละครหลักในเหตุการณ์นี้
ในกรณีการดูดวงชะตาบุคคลหรือเหตุการณ์ใดๆนั้น ไม่ว่าจะทราบหรือไม่ทราบข้อมูลเบื้องต้น ได้แก่ วัน เดือน ปี และเวลาเกิด ของบุคคล นักโหราศาสตร์สามารถใช้หลักปรัชญา ประกอบกับหลักเกณฑ์ ต่างๆ เพื่ออ่านดวงชะตาหรือเหตุการณ์ได้ ที่ให้ผลตั้งแต่ระดับความถูกต้องเบื้องต้นจนถึงขั้นความถูกต้องแม่นยำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ประสบการณ์ของผู้อ่านดวงว่า มีประสบการณ์และความรอบคอบเพียงใด ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักโหราศาสตร์ก็สามารถนำหลักปรัชญาเช่นเดียวกันนี้ไปใช้พยากรณ์เหตุการณ์ของชีวิตตนเองได้
หลักเกณฑ์การพยากรณ์ 1 วัน เหมือน 1 ปี และ 1 วัน เหมือน 1 ชาติ
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการนำหลักการ 1 วัน เหมือน 1 ปี และ 1 วัน เหมือน 1 ชาติ มาใช้ในชีวิต ประจำวันโดยไม่รู้ตัวมากมาย โดยผ่านธรรมเนียนปฏิบัติ และประเพณีนิยม เช่น
ในครอบครัวที่มีเด็กเกิดใหม่ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ญาติผู้ใหญ่ และเพื่อสนิทมิตรสหายจะนำ ทรัพย์สินเงินทอง เสื้อห้า ของใช้ต่างๆมารับขวัญทารกเกิดใหม่ เพื่อให้ทารกน้อยมีความอุดมสมบูรณ์ไปตลอดชีวิต
หรือกรณีที่ทารกที่เกิดขึ้นมาแล้ว ต้องรักษาตัวเพราะสุขภาพมีปัญหา สมมติว่าต้องรักษาตัวนาน 10 วันก็สามารถบอกได้ว่า เมื่อเขามีอายุ 10 ปี เขาก็จะเจ็บป่วยอีก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นโรคหรืออาการเดียวกัน
ประเพณีการการอวยพรวันเกิด ด้วยการให้ของขวัญวันเกิดแก่กันนั้น เป็นการ อุปมาอุปมัยว่า ในวันครบรอบวันเกิดขอให้มีความสุขและความอุดมสมบูรณ์ใน 1 ปีข้างหน้า
ประเพณีการแต่งงาน ที่โบราณจะถือกันว่า ในงานเลี้ยงวันแต่งงาน อย่าให้มีแก้วแตก เพราะจะหมายถึงชีวิตสมรสของคู่บ่าวสาวที่จะมีโอกาสแตกแยกกันไปในที่สุด
ดังนั้นทุกๆวันสำคัญของชีวิตจึงมีความหมายทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์การพยากรณ์ 2 เท่าของอายุ หรือครึ่งหนึ่งของอายุ
บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ หรือไม่ชอบการดูดวง ก็สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ของชีวิตของตนเองได้ ด้วยหลักการนี้ แต่จะต้องรู้จักการอุปมาอุปมัยด้วย เช่น
การย้ายบ้านของเราในวัยเด็ก กับการย้ายงานในวัยผู้ใหญ่ หรือในวัยเด็ก พ่อแม่โชคดีตอนที่เรามีอายุ 14 ปี ก็แสดงว่า พอเราอายุ 28 ปี (2 เท่าของ 14 ปี) เราก็มีโอกาสที่จะมีโชคดี ด้วย
ในด้านกลับกัน หากเราอยากจะรู้ว่า ปีนี้จะเป็นเช่นไร ก็สามารถเอา 2 หารอายุปัจจุบัน ไปดูว่า เมื่อครึ่งหนึ่งนั้นชีวิตเป็นเช่นไร ปีนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น เช่น ปัจจุบันอายุ 46 ปี ครึ่งหนึ่ง คือ 23 ปี
วงรอบเมโทนิก
วงรอบของการเปลี่ยนแปลงชีวิตบุคคล และเหตุการณ์ที่สำคัญโดยมีเงื่อนไขว่า ณ สถานที่ และสิ่งแวดล้อมที่เหมือนเดิม เหตุการณ์ใดๆที่เคยอุบัติขึ้นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นั้นจะอุบัติซ้ำได้อีก เช่น กรณีที่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บนถนนราชดำเนิน มีการเผาสถานที่หลายแห่ง สถานที่เหล่านั้น ได้มีการบูรณซ่อมแซม และสามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิม อีก 19 ปีต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 บนถนนราชดำเนิน สถานที่ที่ได้รับการบูรณซ่อมแซมก็ถูกเผาทำลายลงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังเหตุการณ์ครั้งนี้สถานที่เหล่านี้ เช่น กรมสรรพากร ได้ได้มีการบูรณซ่อมแซมกลับคืนมา ปล่อยให้รกร้างไปหลายปี จึงมีผลให้ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการเผาสถานที่บนถนนราชดำเนิน ณ สถานที่เช่นเดียวกับกรณี 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์จึงไม่เกิดซ้ำในปี 2538 เพราะพื้นที่ของกรมสรรพากรที่ปลายสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าไม่มีการบูรณซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานดังเดิม แต่มีการปรับปรุงภูมิทัศน์หลังจากนั้น เป็นสวนหย่อม
ข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้อง
นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ ถึงแก่กรรม ตั้งแต่ปี 2538
นางสิมารักษ์ ณ นครพนม 29 กรกฎาคม 2495
นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ 1 กรกฎาคม2521
กรณี ศิวรักษ์
ปีนี้เขามีอายุ 31 ย่าง 32 ปี ถูกจับกุมคุมขังในกัมพูชา เป็นเวลา 32 วัน หากเมื่อวิเคราะห์ตามหลักการ และหลักปรัชญาทางโหราศาสตร์ข้างต้น สามารถวิเคราะห์ดวงชะตาได้ดังนี้
ในวัยเด็กขณะที่เขาเกิดนั้น ในระยะขวบเดือนแรก (ประมาณ 30-32 วัน) ของชีวิต บุคคลในครอบครัว น่าจะเป็นบิดา ไม่ได้อยู่บ้านด้วย ไม่ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม หรือตัวเขาเองไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือครอบครัว เป็นเพราะเจ็บป่วย หรือเหตุผลอื่นๆ หรือต้องไปอยู่กับญาติผู้ใหญ่ หรือครอบครัวยกให้เป็นลูกของพระ หรือว่าครอบครัวของเขาจะต้องย้ายที่อยู่ หรือเป็นช่วงที่ครอบครัวมีความลำบากในการดำเนินชีวิต
ในวัย 15-16 ปี หรือครึ่งหนึ่งของอายุปัจจุบัน ศิวรักษ์ น่าจะประสบปัญหาชีวิตไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เช่นอาจจะต้องย้ายโรงเรียน ไปอยู่โรงเรียนที่ไม่ชอบ หรือการอยู่หอพัก หรือต้องไปอยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่ดูแลอย่างเข้มงวด ทำให้ขาดอิสระไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจตนเอง หรือ บรรพชาเป็นสามเณร
ปีนี้ เขาถูกจับกุมคุมขังที่กัมพูชา (ต่างประเทศ) และมีข่าวว่า แม่จะให้บวชทันทีที่กลับถึงประเทศไทย แม้ว่าคดีของเขา (ที่เขาถูกกล่าวหา) จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาก็ตาม แต่เขาไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเขาเอง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก การที่ สิมารักษ์ แม่ของเขามีความประสงค์ให้เป็นเช่นนี้ แม่ ได้กระทำสิ่งที่คิดว่า ถูกต้อง ถูกต้องที่มีความพยายามที่จะช่วยให้ลูกสามารถพ้นจากการถูกคุมขังได้ ด้วยวิธีใดๆก็ได้ แต่สิ่งที่แม่ไม่ได้ให้แก่เขาเลย คือ การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของชีวิตของเขา นี่คือ สิ่งที่จะติดตัวเขาไปในอนาคตทั้งชีวิต ศิวรักษ์จะใช้ชีวิตนับจากนี้ไปในอนาคตพร้อมกับบาปบริสุทธิ์ ที่ โดยความจริงแล้วเขามีโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ...... แต่
เขา ถูกกำหนดไม่ให้ได้รับโอกาสนี้
เมื่อตอนที่ สุวิทย์ ชุติพงษ์ บิดาของศิวรักษ์ ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2538 ศิวรักษ์มีอายุ 17 ปี ดังนั้น เมื่อครบ 2 เท่าของอายุ คือ 34 ปี ศิวรักษ์ อาจจะต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการพลัดพราก หรือการสูญเสียบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลที่เขารักก็ได้
อนาคต เมื่ออายุประมาณ 60-62 ปี เป็นช่วงเวลานับจากนี้ไปเขาจะต้องระมัดระวังการดำเนินชีวิตอย่าให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ที่จะส่งผลในทางไม่ดีแก่เขาเมื่อมีอายุ 60-62 ปี เช่น เกิดการพลัดพราก การสูญเสียใครสักคนที่เขารักในชีวิต ซึ่งอาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือ ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน และเขาจะไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ หรือความถูกต้องได้เลย แม้เขาจะมีโอกาสก็ตาม
กรณี สิมารักษ์
เธอจะเป็นใครก็ตาม วันนี้สิ่งที่เธอได้กระทำ และสิ่งที่ไม่ได้กระทำนั้น เป็นการจารึกเหตุและผลแห่งกรรม ให้แก่ ศิวรักษ์ ลูกชายที่เธอพร่ำว่า รักมาก
ปี 2538 สุวิทย์ ชุติพงษ์ สามีได้เสียชีวิตลง สิมารักษ์ เธออายุ 43 ปี นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า เมื่อตอนที่เธอมีอายุประมาณ 21-22 ปี เธอก็ประสบกับการพลัดพราก หรือการสูญเสียของบุคคลในครอบครัว หรือคนที่คุ้นเคยกันมาก่อน
ปีนี้เธออายุ 57 ปี หากพิจารณาในวงรอบเมโทนิก 19 ปี ก็นับเป็นรอบที่ 3 ของเมโทนิก แสดงว่า เมื่ออายุ 19 ปี และอายุ 38 ปี ได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเดือดร้อน และได้รับความทุกขเวทนามาแล้ว
ปีนี้เธออายุ 57 ปี ลูกชายคนโตถูกจับกุมคุมขังยังต่างประเทศ แสดงว่า เมื่อตอนที่เธออายุ ประมาณ 28-29 ปี หรือครึ่งหนึ่งของอายุปัจจุบัน เธออาจจะประสบเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความทุกขเวทนาอันเกิดจากบุคคลในครอบครัว
กรณี สุวิทย์ ชุติพงษ์ วีรบุรุษตัวจริง
เขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 2538 แต่ก่อนหน้านั้น ด้วยความที่เคยให้ความช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร อย่างน้อยก็ไม่เคยทวงหนี้ (ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์) อานิสงค์ดังกล่าวจึงได้ส่งผลมาถึงลูกชายของเขาในวันนี้ ประกอบกับ สำนึกในด้านดีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อผู้ที่เคยมีบุญคุณมาก่อน ดังที่เราทราบกันมา ทักษิณ ชินวัตร จะตอบแทนผู้มีพระคุณทุกคนที่มีโอกาส
วีรบุรุษตัวจริงในวันนี้ของ ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ จึงไม่ใช่ใครที่ไหน สุวิทย์ ชุติพงษ์ พ่อของเขาเองต่างหากที่ ได้ช่วยให้ศิวรักษ์ รอดพ้นจากคุกตารางในกัมพูชา หาก ศิวรักษ์ไม่ได้ใช้นามสกุล ชุติพงษ์ของพ่อ ไปใช้นามสกุล ณ นครพนม ของแม่ หรือเป็น ศิวรักษ์ นามสกุลอื่นๆ วันนี้ บทสรุปของชีวิต จะไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน
เพราะใครๆก็รู้ว่า ฮุนเซน เล่นเกมนี้เพื่อหาเหยื่อ มารองรับข้อกล่าวหาที่ขับไล่ คำรบ ปาลวัฒน์วิไชย แต่โดยที่ ฮุนเซนไม่รู้ว่า เหยื่อของเขาที่ชื่อศิวรักษ์ จะนามสกุล ชุติพงษ์ จึงไม่รู้ว่าศิวรักษ์ เป็นลูกชายของสุวิทย์ ชุติพงษ์ ต่อเมื่อ สื่อมวลชนในประเทศไทย ได้สืบค้นความเป็นมาของ ศิวรักษ์ จึงทำให้ข้อมูลของสุวิทย์ ชุติพงษ์ หลั่งไหลออกมา จึงมีผลทำให้ท่าทีของฮุนเซน และผู้เกี่ยวข้องต้องรีบเปลี่ยน และเปลี่ยนไปจากเดิมชนิดที่ ต้องเรียกว่า จากฝ่าเท้าที่หยาบด้าน เป็นใบหน้าที่ขาวนวลกันเลยทีเดียว
บทสรุป ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ชายหนุ่มผู้รักแม่ยิ่งกว่าอื่นใด แต่อย่าลืมรักประเทศชาติที่เราเกิดมา และต้องไม่ลืมที่จะรักพ่อ ..... สุวิทย์ ชุติพงษ์ ด้วย ไม่มีใครรักคุณเท่านี้อีกแล้ว